ช่วงเวลาที่อาณาจักรอยุธยายังคงดำเนินไปในช่วง 400 ปีนั้นก็มีบรรดาราชวงศ์ต่างๆ เข้ามาสถาปนาตนเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งราชวงศ์ “ราชวงศ์บ้านพลูหลวง” ภายใต้การสถาปนาราชวงศ์ขึ้นปกครองอยุธยา โดย “พระเพทราชา” ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่สำคัญช่วงหนึ่ง ทั้งในแง่ของช่วงเวลาที่เรารู้ว่าราชวงศ์นี้ คือ ราชวงศ์สุดท้ายที่จะได้ปกครองกรุงศรีอยุธยา
ประวัติ “ท้าวทองกีบม้า” ลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ผู้สร้างตำนานขนมไทย
ประวัติ “โกษาปาน” ย้อนดูความขัดแย้ง พระเพทราชา ถูกตัดจมูก-โบยเสียชีวิต
และเป็นช่วงแห่งการโต้กลับ กระแสตะวันตกที่ก่อนหน้านั้น ในสมัยพระนารายณ์ได้เปิดศักราชของการเปิดรับอารยธรรมตะวันตกเข้ามาในอาณาจักรอย่างเต็มพิกัด การขึ้นมาของพระเพทราชาอาจเป็นเสมือนหนึ่งการโต้กลับของชนชั้นสูง ที่ไม่พอใจต่อนโยบายดังกล่าว ดังนั้น อาจเป็นการดีที่เราควรมาทำความรู้จักพระเพทราชา ผู้ซึ่งเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาจากสุพรรณบุรีสู่การขึ้นมาและสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ล้มล้างราชวงศ์ปราสาททองภายใต้การนำของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชลงในที่สุด
ประวัติ "พระเพทราชา"
พระเพทราชา ทรงเป็นกษัตริย์องค์ของอยุธยาผู้ทรงสถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงอันเป็นราชวงศ์ที่ 5 และเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยา (ครองราชย์ พ.ศ.2231-2246) พระราชสมภพเมื่อปี พ.ศ.2175 ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.2231 ขณะเมื่อมีพระชนมายุ 56 พรรษา พระเพทราชาทรงมีพื้นเพเป็นควาญช้างจากบ้านพลูหลวงในสุพรรณบุรี (ปัจจุบัน คือ บ้านพลูหลวง ที่ตั้งอยู่ในตำบลสนามชัย อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี) พระมารดาทรงเป็นพระนมเปรม แม่นมของพระนารายณ์ ดังนั้นพระองค์ได้รับการเลี้ยงดูควบคู่กันมากับพระนารายณ์ และมีพระขนิษฐาคือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาพระเพทราชาได้รับราชการในวังโดยได้เป็นจางวางกรมช้าง แต่ด้วยมีความดีความชอบในการทำสงครามจึงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยรับใช้อย่างใกล้ชิดและมีตำแหน่งสูงในราชสำนัก ในเวลาต่อมาเป็นถึงขุนนางฝ่ายปกครองในตำแหน่ง สมุหพระคชบาลจางวางขวาในกรมพระคชบาลขวาซึ่งมีอำนาจค่อนข้างมากในราชสำนักพระนารายณ์ ณ ตอนนั้น
พระเพทราชา มีโอรสองค์หนึ่งคือ หลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นโอรสลับของพระนารายณ์ที่เกิดจากเจ้าหญิงเมืองเชียงใหม่ หลวงสรศักดิ์มีส่วนผลักดันให้พระเพทราชาขึ้นมายึดอำนาจจากพระนารายณ์ จึงเกิดปัญหาการสืบราชสมบัติต่อจากพระนารายณ์ว่าควรจะเป็นของใคร ระหว่างพระอนุชา 2 องค์คือ เจ้าฟ้าอภัยทศ และเจ้าฟ้าน้อย กับโอรสบุญธรรมคือพระปีย์ แต่กระนั้นบุคคลทั้ง 3 ก็ถูกพระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ร่วมมือกันกำจัด และขับไล่ทหารฝรั่งเศสออกนอกราชอาณาจักร และยึดอำนาจของพระนารายณ์และสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์บ้านพลูหลวงปกครองอยุธยาต่อไป พระเทพราชามีโอรส 2 องค์ที่มีสิทธิในการสืบราชสมบัติ คือพระขวัญแก้ว จากพระมเหสีฝ่ายขวากรมหลวงโยธาทิพ (ภคินีของพระนารายณ์) และเจ้าฟ้าตรัสน้อยจากมเหสีฝ่ายซ้ายกรมหลวงโยธาเทพ (พระธิดาของพระนารายณ์) เมื่อทรงประชวร ปัญหาการสืบราชสมบัติก็เกิดขึ้น หลวงสรศักดิ์ลอบประหารพระขวัญแก้ว (ตรัสน้อยหนีไปบวชพระ) พระเพทราชาจึงตั้งพระนัดดาเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ ให้สืบราชสมบัติ แต่เมื่อพระองค์สวรรคต หลวงสรศักดิ์ก็ได้สืบราชสมบัติเป็นพระเจ้าเสือ
ผลงานสำคัญของ "พระเพทราชา"
แม้ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งของการก่อการโค้นล้มสมเด็จพระนารายณ์ คือ การขับไล่ชาวตะวันตกให้ออกไปจากอยุธยา แต่ชาวตะวันตกที่พระเพทราชาต้องการขับไล่คือชาวฝรั่งเศส และเพื่อปรับความสัมพันธ์ให้มีลักษณะที่เท่าเทียมกันระหว่างชาวต่างชาติกับอยุธยา พระเพทราชาจึงยังคงติดต่อกับชาวต่างชาติ ไม่ได้ปิดประเทศตามการตีความของนักประวัติศาสตร์บางกลุ่ม พระองค์ทรงมีสัมพันธ์อันดีกับฮอลันดา ฮอลันดาเองก็พอใจที่จะค้าขายไม่ได้คิดเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง เช่นฝรั่งเศส หรือบาทหลวงคริสตังกระทำ พระเพทราชาส่งทูตไปปัตตาเวีย (ที่เกาะชวา) ของฮอลันดา มีการยืนยันที่จะให้สิทธิผูกขาดการซื้อหนังกวางและยังผูกขาดในการซื้อดีบุก ยุคนั้นกลายเป็นยุคที่ตัดขาดจากการค้าขายกับต่างประเทศ และเนรเทศชาวต่างชาติให้กลับประเทศ ส่วนพระพุทธศาสนาได้รับการทำนุบำรุงเป็นอันมากในสมัยนี้
ตลอด 15 ปีที่พระเพทราชาขึ้นครองราชย์ ด้วยการแย่งชิงบัลลังก์จากราชวงศ์ก่อนทำให้เกิดปัญหาเรื่องความสงบตลอดมา พระองค์ถูกมองว่าเป็นผู้แย่งราชสมบัติ อันเป็นเหตุก็ทำให้มีการกบฏต่อพระองค์จำนวนมาก ดังเช่น กบฏธรรมเสถียร จากนครนายกที่หัวหน้ากบฏอ้างตนเป็น เจ้าฟ้าอภัยทศ (อนุชาของพระนารายณ์) ฝ่ายกบฏรวบรวมผู้คนจำนวนมากจากแถบเมืองสระบุรี ลพบุรี และนครนายก บุกรุกเข้ามาจนถึงกำแพงเมืองอยุธยาแต่ก็ถูกหลวงสรศักดิ์ปราบได้ ส่วนหัวเมืองบางเมืองก็ไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชา เช่น เมืองนครราชสีมาและเมืองนคศรีธรรมราช ทั้ง 2 เมืองมีเจ้าเมืองที่ได้รับสถาปนาโดยพระนารายณ์ ทำให้ไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชาและต้องส่งกองทัพไปปราบใช้เวลาปราบถึง 2 ปีและเป็นสงครามภายในที่ใหญ่มากที่สุดสงครามหนึ่ง หลังจากนี้ยังมีกบฏบุกญงว้า เกิดขึ้นอีกที่นครราชสีมา ต้องใช้กำลังปราบอยู่ 2 ปี นับว่ารัชสมัยพระเพทราชาเป็นกษัตริย์ที่มีปัญหาเสถียรภาพการเมืองภายในสูง ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองใหม่ โดยกำหนดให้หัวเมืองฝ่ายเหนืออยู่ในความดูแลของสมุหนายก และหัวเมืองฝ่ายใต้อยู่ในความดูแลของสมุหพระกลาโหม โดยแบ่งให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบดูแลกิจการทั้งด้านทหารและพลเรือนในภูมิภาคนั้นๆ นอกจากนี้พระองค์ยังได้เพิ่มจำนวนกำลังทหารให้แก่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า เพื่อเป็นกำลังป้องกันวังหลวงอีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ ในช่วงที่พระเพทราชาปกครองกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้นได้มีหัวเมืองประเทศใกล้เคียงเข้ามาอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ เป็นประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา อาทิ ใน พ.ศคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. 2234 เขมรได้ส่งคณะราชทูตนำช้างเผือกเชือกหนึ่งมาถวายขอเข้ามาอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร ต่อมา ใน พ.ศ. 2238 กษัตริย์กรุงศรีสัตนาคนหุตได้ส่งราชทูตนำพระราชสาส์น และเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวาย กับขอให้กองทัพไทยไปช่วยต้านทานการรุกรานจากกองทัพหลวงพระบาง พระองค์ได้จัดกองทัพขึ้นไปช่วยไกล่เกลี่ย จนทั้งสองเมืองกลับเป็นไมตรีต่อกัน
คนสำคัญของ "พระเพทราชา"
พระเพทราชา ทรงมีมเหสีสำคัญๆอยู่ 5 พระองค์ ได้แก่ 1) กรมพระเทพามาตย์ (กัน) มเหสีเดิมในพระเพทราชาเป็นผู้อภิบาลพระเจ้าเสือตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ภายหลังได้ขึ้นเป็นที่กรมพระเทพามาตย์ 2) กรมหลวงโยธาเทพ หรือ มเหสีฝ่ายซ้าย – พระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระราชโอรสคือ เจ้าฟ้าตรัสน้อย 3) กรมหลวงโยธาทิพ หรือ มเหสีฝ่ายขวา – พระน้องนางในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระราชโอรสคือ พระขวัญแก้ว 4) พระนางกุสาวดี มเหสีพระราชทานจากพระนารายณ์มหาราช พระธิดาพญาแสนหลวง เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ มีพระราชโอรสคือ พระเจ้าเสือ 5) พระแก้วฟ้า ปรากฏในเอกสารในสมัยอยุธยาได้กล่าวว่า หลังจากการไกล่เกลี่ยเขตแดนระหว่างไทยกับลาว กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ได้ส่งพระราชธิดาถวายแก่พระเพทราชา แต่เอกสารของลาวกลับไม่ได้ปรากฏหรือกล่าวเอาไว้เลย พระเพทราชาเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2246 พระชนมายุได้ 71 พรรษา ครองราชย์ได้ 15 ปี
ขอบคุณข้อมูลและภาพ: สถาบันพระปกเกล้า , วิกิพีเดีย
เรียกร้องถอดสัญชาติ เบนเซม่า ยึดบัลลงดอร์ หลังเชื่อมโยงกลุ่มก่อการร้าย
พยากรณ์ล่วงหน้า 24 ต.ค. – 2 พ.ย. ฝนปนอากาศเย็น นับถอยหลังฤดูหนาว!
อุตุฯ ประกาศฉบับที่ 6 พายุโซนร้อน “ซันปา”