การสู้รบระหว่างยูเครนและรัสเซียในเดือนที่ 18 ชัดเจนว่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนแผ่นดินของยูเครนเท่านั้น ตอนนี้การสู้รบเริ่มขยายขอบเขตออกไปยังบางพื้นที่ของรัสเซียโดยเฉพาะกรุงมอสโก หลังจากเมื่อวานนี้ ทางการรัสเซียอ้างว่ายูเครนส่งโดรนสองลำเข้าไปโจมตี ซึ่งมีลำหนึ่งร่อนไปเกือบถึงตึกที่ทำการของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ซึ่งหลังจากเหตุการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทางการรัสเซียได้ออกมาประกาศว่าจะตอบโต้ยูเครนอย่างรุนแรง
ระทึก! "รัสเซีย" ถูกโดรนปริศนา โจมตีกลางเมืองหลวง
ยูเครนยอมรับ การรุกกลับรัสเซียมีความคืบหน้าน้อย
ยูเครนยึดดินแดนคืน 50% แล้ว-ประณามรัสเซียทำลายมรดกโลก
เมื่อช่วงเย็นวานนี้ กระทรวงการต่างประเทศของรัสเซียได้ออกแถลงการณ์ผ่านหน้าเว็บไซต์ ถึงกรณีที่ยูเครนส่งโดรนสองลำเข้ามาโจมตีกรุงมอสโก โดยเรียกว่าเป็นการก่อการร้าย พร้อมระบุในช่วงท้ายของแถลงการณ์ว่า “ฝ่ายรัสเซียขอสงวนสิทธิ์ใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรง”
ขณะเดียวกัน ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ที่ขณะนี้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซียระบุว่า รัสเซียจำเป็นต้องขยายขอบเขตของเป้าหมายที่จะโจมตีบนแผ่นดินยูเครนด้วยอาวุธใหม่ๆ ที่ยูเครนคาดไม่ถึงและต้องมีผลกระทบที่ร้ายแรง
หลังจากรัสเซียออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก เมื่อวานนี้ ทางการสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการโจมตีด้วยโดรนที่เกิดขึ้นเช่นกัน โดย คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกประจำทำเนียบขาว ได้ออกมาแถลงว่าสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนการโจมตีแผ่นดินรัสเซีย แต่สหรัฐฯ ก็ไม่ปฏิเสธการโจมตีคาบสมุทรไครเมีย เพราะถือเป็นดินแดนของยูเครน ก่อนที่จะย้ำว่าสหรัฐฯ จะช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนต่อไป
ส่วนทางฝั่งยูเครน โอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครน ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN โดยระบุว่ายูเครนจะโจมตีคาบสมุทรไครเมียและสะพานเคียร์ช ที่เชื่อมระหว่างคาบสมุทรไครเมียและรัสเซียแผ่นดินใหญ่ต่อไป พร้อมย้ำว่าเป้าหมายของการโจมตีจะเป็นสถานที่ทางการทหารเป็นหลัก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตัดกำลังกองทัพรัสเซีย
การโจมตีของยูเครนเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้รัสเซีย หลังจากเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน รัสเซียเปิดฉากโจมตีทางอากาศใส่พื้นที่แคว้นโอเดสซาของยูเครนอย่างหนัก โดยเป้าหมายหลักในการโจมตีของรัสเซียคือ คลังเก็บธัญพืชและท่าเรือต่างๆ
เมื่อวานนี้ รัสเซียได้โจมตีโครงสร้างท่าเรือของยูเครนบริเวณแม่น้ำดานูบจนเสียหายหนัก สร้างความไม่พอใจให้หลายฝ่าย โดยเฉพาะกับประเทศโรมาเนีย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ
โอเลฮ์ คีเปอร์ ผู้ว่าการแคว้นโอเดสซาระบุว่า โดรนชาเฮด-136 ของรัสเซียจำนวน 15 ลำ ได้พุ่งเป้าเข้าโจมตีท่าเรือเรนิและอิซมาอิล ซึ่งทั้งสองอยู่ไม่ไกลนักจากพรมแดนของประเทศโรมาเนีย ซึ่งเป็นชาติสมาชิกนาโต เมื่อดูจากแผนที่จะเห็นได้ว่า การโจมตีเกิดขึ้นใกล้กับชายแดนโรมาเนียที่สุดนับตั้งแต่สงครามเกิดขึ้นเมื่อ 17 เดือนก่อน โดยท่าเรือเรนิอยู่ห่างจากพรมแดนโรมาเนียเพียง 200 เมตร และมีเพียงแม่น้ำดานูบกั้นเท่านั้น
หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีท่าเรือ เคลาส์ โยฮันนิส ประธานาธิบดีโรมาเนีย ได้ออกมาประณามสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยระบุว่าการโจมตีดังกล่าวก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงต่อความมั่นคงในพื้นที่ทะเลดำ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คลังเก็บธัญพืชบริเวณแม่น้ำดานูบแห่งนี้ตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีเป็นเพราะที่นี่เป็นเส้นทางสำคัญในการขนส่งธัญพืชของยูเครนสำหรับส่งธัญพืชผ่านทะเลดำ หลังรัสเซียประกาศไม่ต่ออายุข้อตกลงขนส่งธัญพืชผ่านเส้นทางทะเลดำ ซึ่งหมดอายุไปเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ในช่วงที่ข้อตกลงขนส่งธัญพืชผ่านเส้นทางทะเลดำยังมีผลบังคับใช้ ยูเครนขนส่งธัญพืชและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากท่าเรือ 3 แห่ง คือ ท่าเรือยุชนี ท่าเรือโอเดสซา และท่าเรือชอร์โนโมร์สก์ เพื่อผ่านเข้าไปยังพื้นที่ทะเลดำ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังช่องแคบบอสฟอรัสในประเทศตุรกี เพื่อตรวจสอบอาวุธที่ศูนย์ประสานงาน และเดินทางต่อไปยังประเทศปลายทางในทวีปแอฟริกาหรืออื่นๆ
นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2022 จนถึงเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ระบุว่า มีธัญพืชจากยูเครนกว่า 33 ล้านตัน ถูกส่งผ่านเส้นทางระเบียงมนุษยธรรมแห่งนี้ ทำให้ราคาอาหารโลกลดลงถึงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงต้นของสงคราม
ศูนย์ประสานงานกลางของสหประชาชาติที่ดูแลข้อตกลงขนส่งธัญพืชในทะเลดำระบุว่าอาหารที่ยูเครนส่งออกตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมากว่าร้อย 57 เดินทางไปยังประเทศกำลังพัฒนา ส่วนอีกร้อยละ 43 ไปยังประเทศพัฒนาแล้ว อาหารที่ยูเครนส่งออกผ่านพื้นที่ทะเลดำมากที่สุดคือ ข้าวโพด มากถึง 17 ล้านตัน รองลงมาคือข้าวสาลี 9 ล้านตัน และอันดับที่สามคือ เมล็ดทานตะวัน 2 ล้านตัน ประเทศที่รับซื้อธัญพืชจากยูเครนมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ จีน สเปน และตุรกี
องค์การสหประชาชาติย้ำว่าเส้นทางขนส่งธัญพืชผ่านทะเลดำมีความสำคัญต่อสถานการร์อาหารของโลก โดยเฉพาะในประเทศยากจน เนื่องจากยูเครนสนับสนุนธัญพืชกว่า 725,000 ตันให้โครงการอาหารโลก ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่กระจายอาหารต่อไปยังประเทศยากจน เช่น อัฟกานิสถาน จิบูติ เคนยา ซูดาน และเยเมน
ทางสหภาพยุโรปกล่าวว่าปีที่แล้ว ยูเครนได้มอบอาหารให้แก่โครงการอาหารโลกมากถึงร้อย 80 ของธัญพืชทั้งหมดในโครงการ ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มาก การยุติข้อตกลงขนส่งธัญพืชผ่านทะเลดำ ทำให้หลายฝ่ายออกมาประณามรัสเซียอย่างรุนแรงว่ากำลังเล่นเกมด้วยการเอาความอดอยากของประเทศยากจนมาเป็นเดิมพันของสงคราม
องค์การสหประชาชาติประเมินว่าหากยังไม่สามารถหาวิธีใหม่เพื่อส่งออกธัญพืชของยูเครนได้ ประชาชนกว่า 50 ล้านคนในโซมาเลีย เคนยา เอธิโอเปีย และซูดานใต้อาจต้องเผชิญกับความอดยาก เนื่องจากประเทศเหล่านี้ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านอาหาร หลังเผชิญกับภาวะฝนไม่ตกตามฤดูกาลติดต่อกันมานานหลายปีคำพูดจาก เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด
ขณะเดียวกัน ประเทศที่มีกำลังซื้อธัญพืชก็อาจต้องเผชิญกับราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ในวันที่ 17 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ข้อตกลงหมดอายุ ราคาของข้าวสาลีอยู่ที่ 261 ยูโรต่อตัน หรือราวๆ 10,000 บาท ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ราคาข้าวสาลีเมื่อคืนที่ผ่านมา อยู่ที่ 293 ยูโรต่อตัน หรือราวๆ 11,200 บาท การระงับข้อตกลงขนส่งธัญพืชในทะเลดำทำให้ราคาของธัญพืช ซึ่งเป็นทั้งต้นทุนและวัตถุดิบในการผลิตอาหาร เช่น ขนมปังหรือแผ่นแป้งในหลายประเทศ ปรับตัวสูงขึ้น ซ้ำเติมวิกฤตค่าครองชีพที่ประชาชนในหลายประเทศทั้งร่ำรวยและยากจนกำลังเผชิญ
โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัสเซียกลับเข้าสู่ข้อตกลงขนส่งธัญพืชในทะเลดำ เพราะทั้งรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ของโลก โดยคิดเป็นสัดส่วนมากถึงร้อยละ 30 โดยย้ำว่าผลกระทบจากการยกเลิกเส้นทางขนส่งธัญพืชในทะเลดำกระทบกับทุกคนบนโลก โดยเฉพาะประเทศยากจน
ตอนนี้ หลายฝ่ายพยายามช่วยเหลือให้ธัญพืชยูเครนสามารถส่งออกได้ โดยเมื่อวานนี้ รัฐมนตรีของลิทัวเนียประจำสหภาพยุโรปได้เขียนจดหมายเสนอต่ออียู ให้ยูเครนใช้ท่าเรือบริเวณทะเลบอลติกสำหรับการส่งออกธัญพืชเป็นการชั่วคราว
หากใช้เส้นทางนี้ยูเครนจะต้องขนส่งธัญพืชของตนเองออกไปทางตะวันตกของประเทศผ่านโปแลนด์เพื่อไปยังท่าเรือทะเลบอลติก 4 แห่ง โดยมี 3 แห่งอยู่ในชายฝั่งโปแลนด์ คือ ท่าเรือชวินออุชเซีย ท่าเรือกดิเนีย และท่าเรือกดานสค์
ส่วนอีกแห่งคือ ท่าเรือไคลเปดา อยู่ในประเทศลิทัวเนีย นอกจากนี้ ยูเครนยังสามารถส่งธัญพืชไปยังประเทศโรมาเนียเพื่อส่งออกจากท่าเรือคอนสตันซาไปยังพื้นที่ทะเลดำได้ด้วย หลายฝ่ายประเมินว่าท่าเรือในพื้นที่ทะเลบอลติกสามารถส่งออกธัญพืชของยูเครนได้ราว 25 ล้านตันต่อปี
อย่างไรก็ดี การขนส่งธัญพืชไปยังทะเลบอลติกไม่ใช่สิ่งที่ง่ายสำหรับยูเครน เนื่องจากรางรถไฟยูเครนมีขนาดความกว้างของรางต่างจากประเทศอื่นๆ ในยุโรป เพราะมีขนาดความกว้างที่ 1.520 เมตร ขณะที่ชาติยุโรปอื่นๆ มีขนาดความกว้างของรางอยู่ที่ 1.435 เมตรเท่านั้น
นี่ทำให้ยูเครนต้องขนถ่ายธัญพืชทุกขบวนจากตู้บรรทุกหนึ่งไปยังตู้บรรทุกที่ขนาดเหมาะสมกับรางรถไฟของประเทศนั้นๆ หากต้องการส่งต่อธัญพืชไปยังท่าเรือประเทศอื่น ส่วนอีกปัญหาหนึ่งคือ ระบบรางของยุโรปตะวันออกไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการขนส่งธัญพืชปริมาณมาก
นอกจากนี้ ยูเครนยังต้องเผชิญกับอีกหนึ่งอุปสรรค คือ บางประเทศในยุโรปมีมาตรการห้ามนำเข้าธัญพืชจากยูเครน เช่น โปแลนด์ บัลแกเรีย ฮังการี สโลวาเกีย และโรมาเนีย สาเหตุที่ประเทศเหล่านี้ต้องออกมาตรการแบนธัญพืชจากยูเครน เป็นเพราะธัญพืชยูเครนเข้ามาแย่งตลาด ทำให้ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ จนเกษตรกรในประเทศได้รับผลกระทบ มาตรการจำกัดการนำเข้าธัญพืชจากยูเครนจะมีผลถึงเดือนกันยายนนี้ และกลุ่มประเทศยุโรปดังกล่าวกำลังเตรียมขอให้อียูพิจารณายืดมาตรการแบนการนำเข้าออกไปจนถึงช่วงสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนได้ออกมาขอร้องให้สหภาพยุโรปยกเลิกมาตรการเหล่านี้ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่แสดงออกถึงความเป็นยุโรปที่เปิดกว้างและให้เสรีด้านการค้า